ก่อนที่จะเกิดการจัดงานจุฬาฯวิชาการขึ้นนั้น ในแต่ละคณะได้มีการจัดงาน ทางด้านวิชาการของแต่ละคณะขึ้นมาอยู่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 ทางสโมสรนิสิตจุฬาฯได้เล็งเห็นว่า ในเมื่อแต่ละคณะได้มีการจัดงานทางด้านวิชาการของแต่ละคณะขึ้นมาอยู่แล้ว จึงควรจะมีการจัดงานมาร่วมกันให้เป็นงานใหญ่ในทางด้านวิชาการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉะนั้นทางสโมสรนิสิตจุฬาฯ ได้ร่วมมือกับกรรมการนิสิตทุกคณะร่วมกันจัดงานนี้ขึ้นมาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2515 นั้นเอง ภายใต้หัวข้อที่ว่า การรณรงค์ความเป็นไทย และได้จัดงานนี้ขึ้นมาทุก ๆ 3 ปี โดยครั้งที่ 1 - 4 (2515, 2521, 2524, 2527) ได้รับงบประมาณจากการจัดหารายได้และงบประมาณของสโมสรนิสิตเอง แต่หลังจากนั้นก็ประสบกับภาวะขาดทุน และการจัดงานมีรูปแบบเหมือนกับการแสดงสินค้า ยังผลให้งานเผยแพร่ทางวิชาการด้อยลง ดังนั้นในการจัดงานวิชาการครั้งที่ 5 เป็นต้นมา (2530) จุฬาฯวิชาการได้กลายมาเป็นกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยได้ร่วมกับสโมสรนิสิตจัดดำเนินการ โดยสโมสรนิสิตเป็นฝ่ายรับผิดชอบ และเป็นแกนนำในการพิจารณารายละเอียดของโครงการที่จะนำเสนอมหาวิทยาลัย โดยเป็นไปตามหลักการที่ว่า การจัดงานจุฬาฯวิชาการจะต้องมีการกำหนดหัวข้อของงานให้ชัดเจน และให้แต่ละคณะจัดคณาจารย์ เพื่อให้คำปรึกษาในหารจัดทำเนื้อหาโครงการที่จะนำเสนอ โดยมหาวิทยาลัยและคณะจัดสรรเงินสนับสนุนกิจกรรมจุฬาฯวิชาการของนิสิต รวมถึงงบประมาณของสโมสรนิสิตด้วย
|  |
 |
ในการจัดงานจุฬาฯวิชาการครั้งที่ 5 (2530) นั้นเป็นวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 5 รอบ และครบวาระ 70 ปี ในการสถาปนามหาวิทยาลัย ทางมหาวิทยาลัยได้เล็งเห็นความสำคัญของการจัดแสดงผลงานทางวิชาการ เพื่อเป็นโอกาสที่สังคมจะได้นำเอาความรู้ใหม่ ๆ ไปประยุกต์ใช้ในการสร้างความก้าวหน้าหรือแก้ไขปัญหาที่กำลังประสบอยู่และได้ดำเนินการภายใต้หัวข้อที่ว่า วิชาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามแนว พระราชดำริและนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จมาเปิดงาน ผลปรากฏว่าการจัดงานประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และบรรลุจุดประสงค์ทุกประการเพราะเป็นการแสดงผลงานทางวิชาการโดยผ่านทางนิสิตและอาจารย์ ที่ได้พยายามประยุกต์ประสานวิชาการของทุก ๆ สาขาสื่อออกมาภายใต้หัวข้อเดียวกัน
|
ในปี พ.ศ. 2542 ที่ผ่านมา งานจุฬาฯวิชาการได้มีขึ้นภายใต้หัวข้อที่ว่า ปี 2000 มองผ่านกาลเวลา สู่ศตวรรษหน้า พัฒนาสังคมไทย มีจุดมุ่งหมายเพื่อมุ่งเน้นไปที่อนาคต คือศตวรรษที่ 21 โดยมีคำว่าปี 2000 เป็นตัวกำกับ การมองผ่านกาลเวลา ไม่ได้หมายถึงการมองสู่อนาคตเท่านั้น แต่รวมถึงการมองย้อนจากปัจจุบันสู่อดีต เพื่อนำสิ่งที่ได้จากการ มอง นั้นมาใช้พัฒนาสังคมไทย
และในปี พ.ศ. 2545 นี้งานจุฬาฯวิชาการได้มีขึ้นภายใต้หัวข้อที่ว่า กู้วิกฤต ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยกำลังประสบปัญหาวิกฤตต่าง ๆ มากมาย เช่น ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งทางรัฐบาลกำลังเร่งแก้ไขอยู่ ปัญหาความล้าหลังทางเทคโนโลยี ปัญหาสังคม และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งปัญหาเหล่าน ี้ต่างก็เป็นปัญหาที่ทุกคนตระหนักดีอยู่แล้วว่าในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ คนเพียงไม่กี่คนคงไม่สามารถพาประเทศให้หลุดพ้นวิกฤตต่าง ๆ เหล่านี้ไปได้คงต้องใช้คำว่าทุกคนที่เป็นคนไทยต้องร่วมมือกัน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันนำพาประเทศไทยให้หลุดพ้นวิกฤตไปได้ ในฐานะนิสิตจุฬาฯซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปวงชนชาวไทย จึงได้มีการนำความรู้ที่ได้รับจากการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยนำมาใช ้เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตต่าง ๆ ให้สมกับที่ว่าจุฬาฯคือมหาวิทยาลัยที่สร้างขึ้นมาจากเงินของประชาชน และตรงกับคำขวัญของจุฬาฯที่ว่า เกียรติภูมิจุฬาฯ คือเกียรติแห่งการรับใช้ประชาชน
|
|